SEO คืออะไร? วิธีทำ SEO ให้ติดหน้าแรก Google ในปี 2025 (ฉบับเข้าใจง่าย)

SEO คืออะไร? วิธีทำ SEO ให้ติดหน้าแรก Google ในปี 2025 (ฉบับเข้าใจง่าย)

SEO (Search Engine Optimization) คือ การปรับปรุงเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพสูงทั้งเรื่องคุณภาพเว็บไซต์และคุณภาพเนื้อหาให้ตอบโจทย์กับผู้ค้นหา และเพื่อให้สามารถติดอันดับบน SERP ได้

SEO คืออะไร?

จริงจริงแล้ว SEO เนี่ยมันคือหนึ่งในกลยุทธ์ของการตลาดออนไลน์หรือการตลาดดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งกันนะแต่ว่าตัว SEO หลักๆ มันจะเป็นการทํางานเกี่ยวกับกูเกิล ซึ่ง SEO อ่ะมันย่อมาจากคําว่า Search Engine Optimization หรือถ้าแปลกันตรงตัวเลยก็คือ Search Engine เนี่ยคือระบบการค้นหา ส่วน Optimization คือการปรับให้ดีขึ้น 

ซึ่ง Search Engine Optimization ก็จะกลายเป็นความหมายว่า การปรับอะไรก็แล้วแต่เพื่อให้ระบบการค้นหามันทํางานได้อย่างมีประสิทธิภาพดีขึ้นทําให้เราได้ถูกเซิร์ชเจอเยอะขึ้นซึ่งอันนี้มันจะเกี่ยวข้องกับกูเกิลเพราะ Google เป็นระบบการค้นหาโดยตรงและ Google ยังเป็นที่นิยมมากที่สุดในโลก (ส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 90%)

ทีเนี้ย SEO ในความหมายที่ผมอธิบายไปเมื่อกี้มันจะค่อนข้างที่จะเข้าใจได้ยาก ผมก็เลยใช้รูปแบบของความหมายใหม่ ซึ่งความหมายในมุมมองของผม 

SEO คือการ ปรับเพื่อเอาใจหุ่นยนต์และคนอ่าน

การปรับเพื่อเอาใจหุ่นยนต์และคนอ่านเนี่ย เราต้องเอาใจทั้ง 2 อย่างหุ่นยนต์ก็คือเจ้ากูเกิล หรือระบบการค้นหาอื่นๆ ส่วนคนอ่านก็คือคนที่จะเข้ามาในเว็บไซต์หรือลูกค้าของเรานั่นเอง

 ซึ่งจริงๆแล้วเนี่ย Google น่ะก็พยายามที่จะเอาใจคนอ่านหรือคนที่มาเสิร์ชเพราะกูเกิลเองก็เป็นบริษัทที่ต้องหาเงินแบบเดียวเช่นเดียวกัน ทีนี้เนี่ยกูเกิลเองเนี่ยก็พยายามพัฒนาให้เวลาที่มาคนค้นหาเลือกใช้งานระบบค้นหาของ Google แทนที่จะไปใช้ Bing หรือจะไปใช้ Microsoft Edgeเพราะฉะนั้น Google เองก็พยายามเอาใจคนอ่านคนนั้นอยู่ 

ซึ่งเราเองที่อยากจะติดบนกูเกิลเนอะและอยากจะติดเพื่อให้ลูกค้าเราหาเจอเราก็เลยต้องเอาใจทั้ง Google เพื่อให้ Google เราไปแสดงผล แล้วก็เอาใจทั้งคนอ่าน ซึ่งก็เหมือนเราเอาใจ Google ไปในตัวล่ะ

อันนี้ก็คือเรื่องราวของการทํา SEO

3 โครงสร้างหลักในการทำ SEO 

SEO เนี่ยมัน สามารถทําได้โดยโครงสร้าง 3 อันหลักๆ ก็คือ

  • Technical SEO 
  • Off Page SEO
  • On Page SEO

 

3 อย่างเนี้ยเดี๋ยวจะมาลงรายละเอียดทีหลัง แต่มันเป็นแก่นหลักสําคัญในการทําให้ตัวเว็บไซต์ของเรามัน search ติด

(ผมลืมพูดไปว่าจริงจริงแล้ว SEO เนี่ยมันจะเป็นการทําที่เว็บไซต์ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ แต่จริงจริงแล้วระบบ SEO มัน สามารถทําได้ใน social media หรือใน platform อื่นๆ ด้วยเช่นกัน

หลักการคือการปรับ content เหล่านั้นหรือสิ่งที่อยู่ใน platform เหล่านั้นให้มีประสิทธิภาพสูงสุดจนระบบ search ออกไปแสดงผล แต่ใน ณ ที่นี้หรือในบทความที่ผมจะพูดเฉพาะในส่วนของเว็บไซต์เท่านั้น)

 ย้อนกลับมาในเรื่องของการทํา SEO  ก็จะเป็นการปรับ 3 ส่วนอย่างที่ผมแจ้งไปก็เพื่อให้เว็บไซต์เรามีประสิทธิภาพสูงขึ้นและสามารถที่จะทําให้ Google ติดอันดับได้

ต้องมองแบบนี้ด้วยว่า Google เองเนี่ยมันพยายามที่จะปรับให้เว็บไซต์ที่ดีที่สุดที่มันพอจะเอาขึ้นมาได้เอามาแสดงผลให้กับ ลูกค้าคนนั้นๆ ในสิ่งที่ลูกค้าเขาต้องการที่จะได้คําตอบ

หรือเอาง่ายๆ พยายามหาเว็บที่ตอบโจทย์ที่สุดให้กับลูกค้าทั้งในด้านของเนื้อหาที่ตอบโจทย์และประสิทธิภาพของเว็บที่ตอบโจทย์

เพราะฉะนั้นผมจะมาไล่ทีละข้อในเรื่องของการทําส่วนแรกก็คือ Techical SEO

Technical SEO คืออะไร

ส่วนนี้จะเป็นเรื่องของการใช้งานเว็บเป็นหลัก หรือการที่เว็บไซต์ใช้งานได้ขั้นพื้นฐาน

การใช้งานเว็บเนี่ยก็จะรวมถึงเรื่องของการที่เว็บสามารถเข้าใช้งานได้ เว็บเร็ว เว็บใช้งานบนมือถือได้

โดยเฉพาะเรื่องสําคัญอย่างเช่นเรื่องของการใช้งานบนมือถือเพราะทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ใช้บนมือถือซะเป็นส่วนใหญ่

ส่วนการใช้งานมือถือเนี้ยมันเป็นส่วนสําคัญ จนปัจจุบันกูเกิลน่ะเค้าจะตีตราและก็จัดอันดับจากเว็บที่มีประสิทธิภาพบนมือถือสูงก่อน ถ้าคุณมีเว็บที่บนคอมมีประสิทธิภาพสูงมากแต่เว็บบนมือถือห่วยคุณอาจจะแพ้เว็บที่ประสิทธิภาพบนคอมห่วย แต่บนมือถือดีมากได้

ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะว่าเรื่องของ Mobile Responsive เนี่ยก็เป็นเรื่องที่ Google ให้ความสําคัญสูงมาก ซึ่งความเร็วความช้าของเว็บไซต์ต่างๆ ความเร็วความช้าของเซิร์ฟเวอร์ต่างๆ ก็ส่งผลทําเรื่องของการใช้งานบนมือถือด้วยเช่นกัน

เพราะฉะนั้นนี่คือหลักๆ ของด้าน Technical SEO แต่จริงจริงแล้วมันมีอีกปัจจัยมากมายเลยซึ่งผมอาจจะยังไม่ขอลง detail เชิงลึกมาก ยกตัวอย่างเช่น HTML code, การใช้ java script, Coronical Tag, Sitemap, Core Web Vital เป็นต้น ซึ่งเดี๋ยวจะมีดีเทลในบทความเรื่องของเทคนิคคอล SEO 

Off Page SEO คืออะไร

ส่วนต่อมาก็จะเป็นเรื่องของ Off Page SEO ส่วนนี้จะเป็นเรื่องของการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์หรือถ้าในภาษาอังกฤษเขาจะใช้คําว่าเป็น Website Authority หรือเป็นความน่าเชื่อถือนั่นแหละ

เว็บไซต์แต่ละเว็บก็เหมือนคนแต่ละคนเนาะ ถ้าคนคนไหนมีความน่าเชื่อถือก็จะได้รับโอกาส เอาไปพูดถึงได้มากกว่า เว็บไซต์ก็เช่นเดียวกัน

ตัววัดความน่าเชื่อถือ หรือ Authority นั้นน่ะ เขาวัดจากสิ่งที่เรียกว่า Link

การที่คนอื่นเอาเว็บไซต์เราไปแปะตามที่ต่างๆ หรือ Site ต่างๆ มีการลิ้งค์กลับมาที่เว็บไซต์เราแบบเนี้ยเราจะได้ความน่าเชื่อถือสูงขึ้น เหมือนกับเวลาที่คนคนอื่นพูดถึงเรายังไงนั่นแหละ ก็จะได้รับความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้นไป

ซึ่งไอ้การที่คนอื่นลิงค์มาหาเราแบบเนี้ยเค้าจะใช้คําว่า Backlink ซึ่งรายละเอียดของ Backlink เนี่ยมัน สามารถมีวิธีการจัดการวิธีการทํามากมายเลย และเป็นส่วนสําคัญที่ทําให้สร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ 

Backlink คืออะไร ทำไมมีแต่คนอยากได้?

Backlink ชื่อตรงตัวเลยคือ Back + Link คือ การได้ลิ้งค์กลับมา มันคือการที่เว็บอื่น เค้าลิ้งค์กลับมาที่เว็บเรา ถ้านึกไม่ออก ลองนึกเวลาเราเข้าเว็บอ่านข่าว แล้วพอเค้าแนะนำให้ไปอ่านต่ออีกที่ แล้วแปะลิ้งค์อีกเว็บไว้ นี่แหละ เว็บที่ถูกพูดถึงคือได้ Backlink หรือ ได้ลิ้งค์กลับมาจากเว็บอ่านข่าวนั้น

ตัว Backlink มันช่วยเสริม Authority หรือความน่าเชื่อถือให้เว็บไซต์เราสูงมาก เพราะมันเปรียบเสมือนว่า มีคนอื่นๆ กำลังแนะนำเราอยู่ กูเกิลเลยชอบ ถ้าเว็บไหนมี Backlink เยอะๆ และได้รับแนะนำมาจากเว็บดังๆ ก็จะยิ่งดี (ถ้าอยากเข้าใจเรื่อง Backlink เชิงลึก ผมแนะนำให้ตามเว็บ AHREFS เว็บนี้เซียนเรื่อง Links)

คนส่วนมากที่ทำ SEO เลยมุ่งเป้าไปที่ Backlink เพราะเหมือนทางลัดในการสร้างความน่าเชื่อถือ แต่ Backlink เองก็ไม่ใช่ส่วนทั้งหมดในการที่จะทําให้ติดอันดับบน Google 

SEO จะได้ดีต้องไปโฟกัสที่ส่วนอีกส่วนหนึ่งก็คือข้อที่ 3 คือ  On Page SEO

On Page SEO คืออะไร

On Page SEO เนี่ยก็จะเป็นเรื่องของ content ถ้า Off Page คือเรื่องของข้างนอก On Page ก็คือเรื่องของตัวเอง ก็จะเป็นเรื่องของการทําคอนเทนต์การเขียนบทความ การจัดหน้าโครงสร้างเรื่องของเนื้อหาในเว็บไซต์เป็นหลัก

เว็บไซต์ไหนที่มีรายละเอียดของแต่ละเรื่องนั้นมีความสําคัญมากๆตรงโจทย์ตรงประเด็นแบบนี้จะทําให้กูเกิลชอบมากถ้าต้องเทียบกันทั้ง 3 ตัวแปลทั้งเทคนิคอลแอสซีโอออฟเพจเอชีโอและออนเพด SEO ส่วนตัวผมจะยกให้กับออนเพท SEO จะเป็นตัวที่ทําให้โอกาสในการตื่นอันดับสูงมาก

เพราะสุดท้ายกูเกิลก็จะพยายามหาเว็บที่ตอบโจทย์ที่สุดให้กับลูกค้าเท่านั้น

ซึ่งถ้าสมมุติว่าเว็บไซต์ที่เขียนบทความที่ตอบโจทย์มากแต่ไม่มี Backlink เลยกับบทความที่มี Backlink เยอะมากแต่บทความไม่ตอบโจทย์เลย Google มักจะโชว์เว็บไซต์ที่มีบทความที่ตอบโจทย์มากกว่า

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราควรทําทั้ง 3 อย่างให้มีประสิทธิภาพเพียบพร้อมพร้อมด้วยกัน

เทคนิคในการทำ On Page ให้ตอบโจทย์กูเกิลและคนอ่านมาก

  • Meta Data อันนี้จะเป็นส่วนที่แสดงหลังบ้านและตรง SERP ซึ่งจะมีส่วนของ Meta Title, Meta Description และ URL
  • ส่วนของ Heading ต่างๆ โดยให้ความสำคัญจาก Heading 1 มากสุด ไปจนถึง Heading 6 สำคัญน้อยสุด
  • เติม ALT Text ในรูปภาพ เพื่อให้กูเกิลเข้าใจรูปภาพเป็นตัวหนังสือมากขึ้น เข้าใจรูปมากขึ้น

จริงๆ ยังมีส่วนประกอบอื่นๆ อีกมาก แต่ 3 ข้อที่ผมยกมา ถือว่า สำคัญมากๆ

ก่อนจะเขียนบทความให้ตอบโจทย์ ต้องเข้าใจ Search Intent

Search Intent คือ ความตั้งใจของการหาครั้งนั้น ว่าเบื้องหลังที่คนหานั้นเค้าอยากรู้อะไร 

ยกตัวอย่างเช่น คำค้นหาว่า “เครื่องกรองอากาศ ยี่ห้อไหนดี” แบบนี้จะเห็นว่า เบื้องหลังจะเป็นคนที่รู้จักเครื่องกรองอากาศนี้แล้ว แต่กำลังเปรียบเทียบ หรือหายี่ห้อต่างๆ  แต่ถ้า “เครื่องกรองอากาศ คือ” อันนี้การค้นหาจะเป็นการทำความเข้าใจ หาความรู้ ยังไม่ถึงขั้นต้องเปรียบเทียบยี่ห้อ

จากตัวอย่าง จะเห็นว่า 2 คำ เป็นเรื่องเดียวกัน คือ เครื่องกรองอากาศ แต่ว่ามี Search Intent ต่างกัน พอจะเห็นภาพขึ้นมั้ยครับ

ที่นี้พอพูดอะไรแบบนี้ มันดูเป็นนามอธรรมมากๆ จับต้องได้ยาก จึงได้มีการสรุปออกมาใหม่ ซึ่งกูเกิลได้ออกมาพูดเองเลยด้วยก็คือ 

ถ้าคุณอยากติดอันดับหรือทำ Search Engine Marketing ได้ดี ควรโฟกัสที่ Search Intent ซึ่งจะตอบโจทย์ได้ด้วย EEAT นั่นเอง!

ว่าแต่…EEAT คืออะไรนะ? 

E-E-A-T คืออะไร ย่อมาจากอะไร

EEAT จริงๆ แล้วไม่ได้เป็นตัวย่อของอะไร แต่มันมาจากคำ 4 คำ คือ

E – Experience

E – Expertise

A – Authoritativeness

T – Trustworthiness

ซึ่งเดี๋ยวผมจะไล่ทีละข้อเพื่อให้พอเข้าใจภาพ และเดี๋ยวสรุปให้ฟังว่าต้องทำยังไงกับมันบ้าง

ตัวแรกคือ E – Experience ตัวนี้เป็นตัวน้องใหม่ ที่พึ่งเพิ่มเข้ามาเลย (เมื่อก่อนแค่ EAT) ตัวนี้จะเป็นเรื่องของ “ประสบการณ์ของแบรนด์หรือผู้เขียน” ซึ่งกูเกิลจะเริ่มเก็บข้อมูลเรื่องผู้เขียนบทความเอาไว้ โดยดึงจากข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย ข่าว หรือ แหล่งอื่นๆ ด้วย มักวัดจาก ชื่อผู้เขียน หรือ ชื่อแบรนด์ เป็นหลัก

ตัวที่ 2 ก็คือ E-Expertise อันนี้คือความเชี่ยวชาญ หรือก็คือ บทความนั้นๆ จะต้องมีความลึกและข้อมูลแน่น น้ำน้อย

ตัวที่ 3 ก็คือ A-Authoritativeness หรือความเป็นเจ้าของหรือเป็นผู้ที่เขียนบทความนี้เองไม่ได้ไปเอา ไปก๊อบของใครมา

ตัวสุดท้ายคือ T-Trustworthiness อันนี้คือความน่าเชื่อถือ ข้อมูลถูกต้อง ความโปร่งใสของแบรนด์ การมีตัวตนต่างๆ 

ความหมาย  EEAT รวมๆ มันคือ การทำคอนเทนท์ที่มีความลึก ถูกต้อง และละเอียด โดยผู้มีประสบการณ์ด้านนั้นจริงๆ 

แต่มันก็ยังดูจับต้องไม่ได้เท่าไหร่ใช่มั้ยครับ 5555 

เอางี้ ถ้าให้ผมสรุปออกมาตามแพทเทิร์นที่มันเกิดขึ้น และจากการทำ Research ของต่างประเทศ ที่สรุป EEAT ออกมาเป็น แบบจับต้องได้มากขึ้นก็คือ

“เขียนด้วยเนื้อหาเชิงลึก ที่ถูกต้อง เนื้อๆ เน้นๆ ให้มากกว่า 1,500 คำ ขึ้นไป”

เขียนได้ขนาดนี้ เดี๋ยวเข้าเกณฑ์ EEAT แน่นอน … แต่ทำไมเราต้องทำตาม EEAT กันนะ

เพราะ Google เค้ามีสิ่งนึงที่เป็นระบบคอยตรวจประสิทธภาพของเว็บผ่านสิ่งที่เรียกว่า “Google Algorithm”

Google Algorithm คืออะไร อัปเดต Google Algorithm ล่าสุด

กูเกิลเอง เค้าไม่ได้หยิบเว็บมามั่วๆ ในการเอามาจัดอันดับ แต่เค้าจะมีระบบอัลกอริทึ่ม หรือ ระบบเป็นกระบวนการประเมินของกูเกิล ซึ่งจริงๆ มีหลายตัวมาก และมีอัพเดตตลอด

ตัวหลักๆ ที่จับตาดูเรื่อง SEO ส่วนมากจะเป็นชื่อสัตว์ โดยมีอัลกอริทึ่ม ดังนี้

  • Panda – ตรวจคุณภาพเว็บไซต์
  • Penguin – ตรวจเรื่องคุณภาพลิ้งค์
  • Hummingbird – ระบบทำความเข้าใจ Intent ของคนมากขึ้น

จริงๆ ยังมีอีกมากที่กูเกิลคอยอัปเดต และมีทั้งอัปเดตเล็ก และอัปเดตใหญ่ ที่อาจจะกระทบ หรือไม่กระทบกับ SEO ที่เราทำก็ได้

อัปเดต Google Algorithm ล่าสุด

กูเกิลอัปเดตอัลกอริทึ่มล่าสุด 

วันที่ 19 ธันวาคม 2024 – เป็นการอัพเดตเรื่อง Spam Content หรือ เนื้อหาที่ไม่เป็นประโยชน์

โดยการอัพเดตนี้ จะดูที่คุณภาพของเนื้อหา ที่จะต้องมีประโยชน์สูงสุดต่อผู้ใช้งาน เว็บใครที่ไม่เจาะลึก หรือคุณภาพ จึงส่งผลกระทบต่อเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาคุณภาพต่ำหรือเว็บที่เนื้อหาไม่เจาะลึกนั่นเอง

Google ได้กล่าวไว้ใน Google Search Central ว่าเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาคุณภาพสูง และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้จะมีโอกาสติดอันดับสูงขึ้น”

อ่านรายละเอียดเชิงลึก สรุปอัปเดต Google Algorithm ในเดือนธันวาคม 2024

ทำ SEO แล้วได้อะไร?

ตัว SEO มันคือตัวกลยุทธ์ที่ทำให้เราได้รับการมองเห็น หรือ Visibility บนพื้นที่ผลลัพธ์การค้นหาใน Google หรือระบบ Search Engine ต่างๆ นั่นเอง

แต่เอาง่ายๆ ก็คือเป็นเหมือนอีกท่อหนึ่งในการที่ได้ Traffic เข้าเว็บไซต์ เพิ่มโอกาสให้มีลูกค้ามากขึ้น นอกจากนี้ก็มีประโยชน์ทางการตลาดและทางธุรกิจอีกมาก เช่น

  • ช่วยให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
  • ช่วยเพิ่มโอกาสในการได้ Leads หรือลูกค้า
  • อยู่ในขั้นตอน Consideration ของ Funnel ที่อาจนำมาซึ่งลูกค้า
  • สร้าง Trust หรือความน่าเชื่อถือมากขึ้น
  • ช่วยทำให้ถูกค้นหาเจอในกลุ่มลูกค้าเฉพาะ

แต่ต้องเข้าใจก่อนว่า ต่อให้ SEO เราจะดีแค่ไหน ลูกค้าเข้ามาง่ายแค่ไหน แต่ถ้าสินค้า หรือ เว็บไซต์เราไม่ดี ก็ทำให้ปิดการขายไม่ได้เช่นกัน ยังไงการทำการตลาดด้านอื่น เช่น การทำแบรนดิ้ง การทำโฆษณา ก็จำเป็นอยู่ดีนะครับ

Case Studies : ธุรกิจการศึกษา เว็บไซต์โตขึ้น 400% และเพิ่มยอดขายจาก Organic ได้กว่า 40%

ผมมีเคสที่เคยดูแลให้กับ ธุรกิจการศึกษาเจ้านึง ที่ยังไม่เคยเน้นโฟกัสที่เว็บไซต์เลย ส่วนใหญ่ลูกค้ามาจาก ปากต่อปาก (Word of month) มากกว่า ก็คือเพื่อนชวนเพื่อนนั่นแหละ ที่นี้อยากขยายฐานรายได้มากขึ้น ทำยังไงดี ตอนนั้นสรุปกลยุทธ์ออกมา คือ ขยายการเข้าถึง ทั้ง Social Media ผ่านโฆษณา และเว็บไซต์ผ่าน SEO

เราเริ่มต้น SEO จาก 0 คือ ไม่ได้มีบทความ ไม่ได้ปรับเว็บไซต์มาก่อน เราเลยเริ่มต้นทำ SEO จากคีย์เวิร์ดเกี่ยวกับคอร์สเรียนที่จับกลุ่มลูกค้าหลักก่อน เราเริ่มทยอยเขียนบทความตามหลัก E-E-A-T ให้ครอบคลุมคีย์เวิร์ดเกี่ยวกับคอร์สเรียนเป็นหลัก ทำติดต่อกัน 3 เดือน เริ่มมีคนเข้าเว็บไซต์จากออแกนิก หรือ คนเซิชเจอแล้วคลิกเข้ามาเยอะขึ้น 40% 

พอผ่านเวลาไป ทำ SEO เหมือนสร้างบ้าน วางอิฐทีละก้อน อันที่ทำไปแล้วคนก็เข้ามาอยู่เรื่อยๆ อันที่ทำใหม่ ก็เข้ามาเพิ่ม จน 1 ปี ผ่านไป เว็บไซต์โตขึ้น 4 เท่า และเมื่อแยกยอดขายบนเว็บไซต์ที่มาจากออแกนิก คิดเป็นยอดขายกว่า 40% บนเว็บ

เห็นพลังของการทำ SEO แล้วมั้ยครับ 

SEO vs SEM เปรียบเทียบกันชัดๆ อันไหนดีกว่า

เมื่อพูดถึง Google หรือการใช้คำ SEO ก็มักจะมีคำถามอีกอันขึ้นมาว่า อ่าว แล้ว SEM คืออะไรหละ และต่างจาก SEO ยังไง อันไหนดีกว่ากัน 

เอาหละ ก่อนอื่นมาเข้าใจ SEM ก่อนว่า คืออะไร แบบสั้นๆ

SEM คืออะไร ย่อมาจากอะไร

SEM หรือ Search Engine Marketing คือ การทำโฆษณาบนระบบ Search หรือ ยิงแอด Google ที่เป็นการ Search Ads นั่นเอง ถ้าอ่านยังไม่เข้าใจ ดูรูปเอา เก็ทแน่นอน

ซึ่งเมื่อเป็นการทำโฆษณา ก็หมายความว่า คือการใช้เงินเพื่อทำโฆษณาในแพลตฟอร์มนั้นๆ เอง

เริ่มเห็นความต่างของ SEM และ SEO แล้วใช่มั้ยล่า มาดูตารางการเปรียบเทียบแบบชัดๆ ทีละประเด็นดีกว่า

ตารางเปรียบเทียบความแตกต่าง SEO vs SEM

SEO

SEM

เป็นกลยุทธ์ที่ไม่ได้ใช้เงินซื้อโฆษณา ใช้เงินซื้อโฆษณา ใช้เงินแก้ปัญหา
ใช้ระยะเวลาทำนาน ทำได้ทันที
แสงผลจากคีย์เวิร์ดที่คนค้นหา แสดงผลตามคีย์เวิร์ดและกลุ่มเป้าหมายที่กำหนด
อัตราการคลิกสูง อัตราการคลิกต่ำกว่า
เน้นสร้างความน่าเชื่อถือและแบรนด์ เน้นสร้างยอดขายและ Leads
เป็นกลยุทธ์ระยะยาว เป็นกลยุทธ์ระยะสั้น

ถ้าดูจริงๆ แล้ว ทั้งสองไม่ได้เกิดมาแข่งกัน หรือ เราในฐานะนักการตลาดจะต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ทั้งสองกลยุทธ์ทำหน้าที่แทบจะต่างกัน และการวัดผลก็ต่างกันด้วย

ในความเป็นจริงแล้ว เราควรผสมผสานการกับกลยุทธ์ทั้งสองนี้ และอาจรวมถึงกลยุทธ์บน Social Media ด้วยเช่นกัน จากประสบการณ์ของผม แบรนด์ที่ทำครบ มักจะมีผลลัพธ์ในแต่ละกลยุทธ์ดีกว่าเลือกอย่างใดอย่างนึง เพราะสุดท้ายแต่ละกลยุทธ์จะเสริมกันทางตรงไม่ก็ทางอ้อมไม่ก็ทางใดทางหนึ่ง

เราจะวัดผลตัว SEO อย่างไรได้บ้าง เมทริคอะไรในการดู

เมื่อทำกลยุทธ์ SEO แล้ว เราก็ต้องวัดผลด้วยสินะ ว่า SEO ที่ทำไปเนี่ย ได้ผลลัพธ์ยังไงบ้าง แล้วเราจะต้องวัดอะไรบ้าง

จริงๆ มันก็วัดได้หลายอย่างนะ ตัวหลักๆ ก็คือ อันดับแหละ ว่าทำไปแล้วได้อันดับมั้ย แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมดที่ SEO ทำได้ เราสามารถวัดผลได้มากกว่านั้น

วันนี้ผมจะลองยกตัวอย่าง 5 KPI ง่าย ๆ ที่ควรตั้งเมื่อทำ SEO

อันดับของคีย์เวิร์ดที่เราต้องการ (Ranking)

แน่นอน ทุก ๆ คนอยากมีเป้าหมายนี้ เพราะมันคือวัตถุประสงค์หลักของการทำ SEO

ซึ่งสูงสุดคือการติดอันดับที่ 1 แต่แน่นอน บางครั้งอาจจะเป็นไปได้ยาก แต่การขยับขึ้น ถือว่าการทำ SEO มีประสิทธิผลมากขึ้นได้

Organic Traffic หรือ อัตราการเข้าเว็บไซต์แบบออแกนิค

แปลง่าย ๆ คือ จำนวนผู้คนที่เข้าเว็บไซต์จากการค้นหาผ่านกูเกิลเข้ามา ซึ่งสามารถไกด์เรื่องประสิทธิภาพของ SEO ได้ด้วย เพราะสิ่งนี้จะหมายถึง เราได้เลือกคีย์เวิร์ดที่ดี และทำอันดับได้ดีด้วย จนนำพาคนเข้าเว็บมา

CTR หรือ อัตราการคลิก

สิ่งที่นี้คือ การคำนวนผ่านจำนวนการคลิก กับ จำนวนการแสดงผล ยิ่งมีอัตราการคลิกสูง แปลว่า ก็จะมีคนเข้าเว็บไซต์มาเยอะตามสัดส่วนด้วย อีกทั้งยังบ่งบอกเรื่องของความน่าดึงดูดของเว็บไซต์เรา เมื่อขึ้นไปแสดงผลบนกูเกิลด้วย

การแสดงผลหรือ Impression หรือ Visibility

ก็คือเว็บเรามีการแสดงผลเท่าไหร่ กี่ครั้ง ผ่านสายตาคน ผ่านสายตาประชาชี กี่คน ซึ่งอันนี้วัดได้เลยจากจำนวนของคีย์เวิร์ด SEO ที่ติด ยิ่งถ้าเราติดคีย์เวิร์ดเยอะ ก็เพิ่มโอกาสในการแสดงผล และยิ่งคีย์เวิร์ดนั่นมีคนหาเยอะ ก็ยิ่งเพิ่ม Visibility มากขึ้น

Domain Authority หรือว่า พลังของเว็บ

อันนี้วัดจาก Backlinks หรือ Off Page ตามที่เคยได้เกริ่นไป ยิ่งเว็บไซต์เรามี Backlinks เยอะ ก็ยิ่งทำให้เว็บไซต์เรามี Authority เยอะขึ้น หรือ มีพลัง หรือมี ความน่าเชื่อของเว็บเยอะขึ้นตามไปด้วย ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในกลยุทธ์และผลลัพธ์ของการทำ SEO

เรียนการทำ SEO ได้ที่ไหนบ้าง

จริงๆ เราสามารถหาเรียน หรือ หาข้อมูลเรื่อง SEO ได้ในทั้งหลายๆ ที่ เช่น ตัว Google Search Central ของกูเกิลเอง หรือ Youtube หรือเว็บของ AHREFS หรือว่า เว็บไซต์ Neil Patel หรือตามจาก บทความ SEO ของเราก็ได้ ข้างล่างนี้

หรือถ้ายังไม่เก็ท อยากได้การเรียนแบบจับมือทำ แบบตัวต่อตัว แบบลงเชิงลึก เพื่อที่จะเอาไปใช้กับที่บริษัท เปลี่ยนสายงาน หรือรู้เพื่อจ้าง Agency ก็เรียนกับคลาส Rank Rocket ของ Converzilla เราได้

คอร์ส Rank Rocket สอนทำ SEO ให้เว็บไซต์ทะยานอันดับสูงปริ๊ด

คอร์ส Rank Rocket สอนทำให้เว็บไซต์ ติดหน้าแรก Google ด้วยการทำ SEO เรียนจบทำเป็น แถมการันตีติดอันดับชัวร์!  รวมทุกเรื่องที่ต้องรู้ อัปเดตล่าสุดปี 2025

สิ่งที่จะได้รับในคลาสนี้

  • ความเข้าใจระบบ Google Bot และการทำให้ Google Bot ชอบ
  • ทฤษฏีและหลักการ SEO ทั้งหมด
  • วิธีการ How to ทำ SEO แบบละเอียดยิบ
  • การทำ Keyword Research หา คีย์เวิร์ดทองตำ
  • Design การเขียนคอนเทนท์ ให้ติด SEO ทุกครั้ง
  • Backlink และการทำ Linking Strategies
  • เครื่องมือช่วยในการทำ SEO ทั้งหมดที่ได้ผลแน่นอน
  • Workshop แบบจับมือทำ ช่วยจนกว่าจะติดอันดับ
  • การใช้ Ai ในการเข้ามาทำ SEO ตั้งแต่ต้น จนจบ

ที่นี่เราสอนแบบไม่กั๊ก สอนแบบจับมือทำ สอนแบบเนื้อหาแน่นที่สุดที่เคยทำมา ไม่มีเว็บไม่เป็นไร เรามีพื้นที่ให้คุณได้ลองทำผ่าน WordPress แน่นอน มากไปกว่านั้น เราสอนการนำ ChatGPT และ Ai มาช่วยในการทำ SEO แบบทีละขั้นตอน ลดเวลาการทำไปได้กว่า 80%

หากสนใจก็ลงทะเบียนที่นี่ไว้เลย เดี๋ยวเราติดต่อกลับเอง สบายใจได้ ไม่ใช่คอลเซ็นเตอร์แน่นอน

Share the Post:

บทความอื่นๆ

Scroll to Top

Let’s grow Your
Business Together

Pick your best describe your interest and business needs
Get free business evaluation and consult.

Please enable JavaScript in your browser to complete this form.
Checkboxes